บันทึกของ น.ต.หลวงเจนจบสมุทร

          เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของนักเรียนนายเรือในอดีต ที่ได้สร้างวีรกรรม ๆ หนึ่งที่ทำให้ เสด็จเตี่ย ทรงมีเรื่องบาดหมางใจกับ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ โดยได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือนาวิกศาสตร์ ฉบับเดือน กรกฎาคม ๒๕๑๐
          สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของบันทึกนี้คือ น.ต.หลวงเจนจบสมุทร (เจือ สหนาวิน) ได้บันทึกไว้ในปี พ.ศ.๒๔๘๕ (เหตุการณ์ที่บันทึกปี ๒๔๕๒ - ๒๔๕๓) แต่ผู้ที่นำมาเผยแพร่ คือ พล.ร.ต.สมุทร์ สหนาวิน (อดีต ผบ.ทร.) บุตรชาย โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริง และเฉลิมพระเกียรติแด่เสด็จในกรมฯ

พลเรือเอก สมุทร์ สหนาวิน


 ผบ.ทร. เมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๒๔ บุตรของผู้บันทึก



 บันทึกของ น.ต.หลวงเจนจบสมุทร

          เมื่อกำลังเป็นนักเรียนเล่าเรียนอยู่ในโรงเรียนนายเรือนี้ มีเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรบันทึกไว้ให้ลูกหลานทราบเป็นประวัติส่วนตัว คือเวลานั้นกำลังเป็นนักเรียนชั้น ๓ ครบกำหนดถึงคราวที่โรงเรียนตัดฟอร์ม (เครื่องแบบ) ขาวและฟอร์มสีกากีให้คนหนึ่งอย่างละ ๓ สำรับ ฉันตัดได้แล้ว แต่เจ๊กตัดให้รุ่มร่ามไม่กระทัดรัดเป็นที่พอใจ พอถึงวันเสาร์โรงเรียนหยุดเรียน นักเรียนก็เตรียมตัวกลับบ้าน ถึงเวลาก็ปล่อยไปตามเคย พวกที่อยู่โรงเรียนใครมีธุระจะไปไหนก็ได้ ดูหนัง ดูละคร ฯลฯ ตามความพอใจ พอเวลา ๑๖ น. เศษ ฉันก็แต่งตัวหนีบฟอร์มข้ามฟากไปถึงท่าเตียน พบนักเรียนห้องสองชื่อตู้ เขาหนีบฟอร์มไปแก้ที่เจ๊กแห่งเดียวกัน จึงได้เดินชวนกันไป เพราะร้านเจ๊กอยู่ที่แถวสะพานข้างโรงสีนี่เอง
          ออกจากท่าเตียนเดินทางตามถนนระหว่างวัดโพธิ์กับกำแพงพระบรมมหาราชวัง แล้วผ่านสวนสราญรมย์ไปทางหน้าพลับพลาสูง จวนจะเลี้ยวเข้าถนนระหว่างกลาโหมกับวังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช (คือรัชกาลที่ ๖) คือที่กระทรวงการต่างประเทศเดี๋ยวนี้ จากกำแพงวังถึงต้นมะขามเป็นสนามหญ้า มีพวกมหาดเล็กของวังนี้ ประมาณทั้งเด็กและผู้ใหญ่สัก ๕๐-๖๐ คนได้ กำลังเล่นฟุตบอลกันอย่างเอิกเกริกเฮฮา ครื้นเครงกันอยู่อย่างสนุกสนาน พอฉันทั้งสองคนเดินผ่านคล้อยหมู่ที่กำลังเล่นอยู่ใกล้เข้ามาทางหัวเลี้ยวได้สักหน่อยก็ธงลง เพราะเป็นเวลาย่ำค่ำ แตรวงที่หน้ากระทรวงกลาโหมบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี (แต่ก่อนนี้ที่ป้อมเผด็จดัสกร มีเสาธง ชักธงมหาราชเสมอ) เอาธงลงฉันก็หยุดทำความเคารพ ในระหว่างที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่นั้น เขาก็เลิกฟุตบอลเดินคุยกันมาเสียงขรมถมเถ (เพราะพวกเขาไม่ต้องเคารพธงชาติเหมือนราษฎรเดี๋ยวนี้) มาทางข้างหลัง เมื่อสุดเสียงแตรแล้ว ฉันเอามือลงแล้วก้าวขาออกเดินพร้อม ๆ กัน เขาเดินกระชั้นเข้ามาใกล้สัก ๑๐ วาได้ การที่เอามือลงและก้าวเท้าออกเดินนี้ เป็นหน้าที่ของทหาร ไม่ต้องทำการนัดหมายก็ทำพร้อมกันได้ และก็เหตุนี้แหละที่จะเกิดเป็นเรื่องใหญ่โต เดือดร้อนขึ้นถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ คือ เมื่อเอามือลงและก้าวเท้าออกเดินพร้อมกันนั้น เขาคงนึกชอบใจด้วยกำลังหนุ่มคะนองและลำพองว่าตนเป็นคนใหญ่คนโต ตามมติของเขาหรือมิฉะนั้นก็เหมือนเด็กที่เคยมีอำนาจอาจทำเกเรข่มเหงคนอื่นเล่นได้ตามชอบใจ ซึ่งพวกเราเคยพูดกันจนชินปากว่า 
          "อ้ายนี่เล่นอวดดีราวกับเจ้า"
          เรียกว่าฝ่ายที่พูดเหลืออดเหลือทนเต็มที จึงได้ออกวาจาดังนี้ แล้วก็ออกกำลังเข้าหากัน ลงท้ายปากกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน


 วังสราญรมย์

          เขานับ "หนึ่ง ๆ และ หนึ่งสอง" ฉันก็เหลียวไปดูตามเสียงที่ได้ยินนั้นอยู่ข้างหลังว่าเขานับฉันสองคนที่กำลังเดินพร้อมกันนี้ หรือเขานับอะไร ? ที่ไหน ? กันแน่ พอเหลียวไปก็พอดีเหมาะทีเดียวเขาอ้าปากจะนับอีก แต่เขาเห็นฉันเหลียวไปสบตาเข้า เขาก็หยุดไม่กล้านับแล้วก็หลบหน้าเข้าปนเปกับหมู่พรรคพวกของเขาทันที ระยะคนที่นับกับฉันเดินห่างกันสัก ๗ - ๘ วาเท่านั้น พอจะจำหน้ากันได้ถนัด ฉันก็เหลียวกลับมาพูดกับเพื่อนร่วมทางของฉันว่า "เขานับถูกกับเท้าของเราและฉันเหลียวไปมองดู เขาหลบหน้าฉัน" ในระหว่างที่พูดกันนี้ต่างก็ลดฝีเท้าลง คือก้าวสั้น ๆ ชลอให้เขาขึ้นมาทัน พอเขาขึ้นมาทัน ฉันก็หันไปถามขึ้นว่า เมื่อตะกี้นับอะไรกัน เจ้าเด็กคนนั้นไม่ยักตอบฉัน กลับหลบหน้าวูบวาบ เข้าไปปะปบกับพรรคพวกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหลบหน้าไม่ให้ฉันจำได้ว่าใครเป็นใครกันแน่ มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ เขาเลยตอบฉันแทนคนนั้นว่า "เขานับอะไรต่ออะไรของเขาเล่นต่างหาก" ฉันก็ตอบว่า "ถ้าไม่ได้นับฉันแล้ว ฉันถามดี ๆ ก็ควรจะตอบฉันซี นี่ไม่ตอบฉันกลับหลบหน้าไปเสียอีก และเป็นเรื่องเกี่ยวข้องอะไรกับแกด้วยเล่า จึงได้มาพูดแก้ตัวแทนกันดังนี้"
         เขาทั้งหมดไม่มีใครกล้าตอบ ยังมีอีกคนหนึ่งซึ่งทราบภายหลังว่าเขาชื่อนายร่วม มีรูปร่างทั้งสูงทั้งใหญ่เดินตามมาห่าง ๆ ข้างหลัง เมื่อเขาเห็นพรรคพวกของเขา ต่างยืนจังงัง ไม่มีใครกล้าตอบคำพูดของฉัน เขาก็แหวกพรรคพวกของเขาเข้ามา เหมือนกับว่าเขาเป็นนักเลงโตหัวหน้าข่มหมู เดินแบะท่าอย่านักมวยตรงเข้ามาหาฉัน พร้อมทั้งพูดว่า "ฉันเอง ๆ" เมื่อเขาตรงเข้ามาพร้อมด้วยคำพูดและอาการเช่นนั้น ฉันก็ปล่อยฟอร์มที่ฉันหนีบลงกลางถนน หันมารับพร้อมกับเสือกหมัดไปพบกันอย่างจัง แล้วต่อไปก็เล่นมวยหมู่กลุ้มชุลมุนไม่รู้ว่าใครเป็นใครอย่างขนานใหญ่ ข้างหนึ่ง ๒ คน อีกข้างหนึ่ง ๕๐ - ๖๐ คน รวมกำลังกินหมู คือฉันสองคนเวลานั้นฉันนึกอะไรออกไม่ได้ นึกถึงได้แต่คาถา หนุมานคลุกฝุ่น ที่ครูอาจารย์สอนให้เท่านั้น แต่เมื่อชุลมุนกันหนักเข้าก็ลืมอีก รู้แต่ว่าเมื่อตัวถูกหมัดเซไปทางไหน ฉันก็ใช้หมัดซ้ายเหวี่ยงออกไปแล้วก็กวาดด้วยหมัดขวาเป็นระยะเป็นจังหวะมิได้หยุดหย่อนและก็ไม่เหน็ดเหนื่อยกลับเห็นเป็นของสนุกดี ต่อยกันได้อย่างจังเลย กระบี่(ที่เรียกว่ามีดเหน็บ) ที่ติดอยู่ที่บั้นเอว ก็รู้ตัวอยู่ว่ามีอยู่เหมือนกัน แต่ยังคงนึกว่า ไม่ถึงคราว เขาเล่นมือเปล่าเราก็ควรจะตอบด้วยมือเปล่าจึงจะควร แล้วก็มือไม่ว่างที่จะมาจับกระบี่ด้วย มันน่าขำและสนุกมาก
          เวลานั้นฉันแต่งยูนิฟอร์มขาว แต่ถูกขว้างปาด้วยก้อนอิฐข้างถนนจนตัวของฉันแดงเป็นอิฐ และเป็นจุด ๆ ไปเต็มตัว พวกคนเล็กเขาอยู่ห่าง ๆ แล้วเขาใช้ก้อนอิฐขว้างฉัน แต่ไม่ยักถูกศีรษะ เพราะมีหมวกที่ฉันใส่จนแน่นจึงไม่หลุด ถ้าหมวกหลุดฉันอาจหัวแตกได้ ถ้าหัวฉันแตก ฉันเห็นเลือดเข้าคงเดือดเป็นแน่ ตอนนี้เองกระบี่คงจออกจากฝักหั่นกันละ แต่เมื่อไม่ถึงระยะนั้น ใจฉันยังดีอยู่เป็นส่วนมาก มิได้หวาดหวั่น พรั่นพรึง กลัวเกรงแม้แต่น้อย จนตัวของฉันเองเซถลาเข้าไปจนถึงหน้าประตูวัง ซึ่งมียามพลทหารบกยืนถือปืนสวมดาบพร้อมระวังเหตุการณ์อยู่ที่ประตูนั้น พวกเขาเหล่านั้นได้ร้องบอกยามว่า "ยามแกต้องจับตัวไว้ ถ้าไม่จับแกผิดด้วย" ส่วนยามก็เงอะงะเป็นที่ตกใจตื่นเล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
          ตอนนี้เองฉันจึงมีเวลาเหลียวแลดูรอบ ๆ ตัว เห็นตัวเข้ามายืนถึงประตูวัง เห็นเขาล้อมฉันอยู่ห่าง ๆ เหมือนสังเวียนไก่ และเหลียวไปดูเพื่อนร่วมทางของฉัน เขาลงไปยืนอยู่ในท่อข้างถนนฝั่งข้างแบแรค (กลาโหม) และคนที่ล้อมเขาอยู่ห่าง ๆ โดยรอบก็มี และคนที่อยู่ใกล้ฉันที่สุด ก็คือยามทหารบกที่ยืนถือปืนสวมดาบปลายปืนพร้อมอยู่อย่างตกใจห่างจากฉันสัก ๒ - ๓ ศอกไม่ถึงดี ฉันจึงพูดขึ้นว่า "ยาม ! เธอก็เป็นทหาร ฉันก็เป็นทหาร ไม่ควรทำร้ายกันเอง และเราก็ไม่มีเหตุเกี่ยวข้องหมองใจกันด้วย แต่เมื่อเธอจะจับฉันให้ได้ ก็เท่ากับเธอไม่รักชีวิตของเธอเหมือนกัน" เวลาที่พูดนั้นมือซ้ายจับฝักกระบี่ขยับดังกรอกแกรกอยู่ แต่ในใจนั้นจับอยู่ที่ดาบปลายปืนของยามจะแย่งเอาดาบปลายปืนอันนั้น และประหารเขาให้ได้ ตาของฉันจับตาของเขา และระวังอากัปกิริยาทุกประการ
          เวลานั้นถ้าเขาขยับตัว หรือมีท่าทางบอกว่าเป็นพวกข้างโน้น ฟังเสียงข้างโน้นแม้แต่หน่อยหนึ่งแล้ว หรือขยับตัวด้วยประการใด ๆ ก็ตาม ฉันเป็นพุ่งตัวโถมเข้าใส่ยามทันที คราวนี้แหละเห็นจะถึงเลือดถึงชีวิตกันละ ฉันนึกในใจ แต่ก็เป็นอยู่อย่างหนักหนา ยามยืนถือปืนนิ่งเฉยเหมือนยักษ์วัดแจ้งยืนถือกระบองอยู่หน้าโบสถ์นั้น เห็นแต่ตากระพริบ ๆ ระวังตรงเฉยอยู่ ในระหว่างที่ฉันประจันหน้าอยู่กับยามดังกล่าวมานี้ มีทหารบกคนหนึ่งจะเป็นนายหรือพลทหารก็ไม่ทราบ เห็นจะได้ยืนดูมวนหมู่มานาน ตั้งแต่เกิดเหตุมาแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบแน่เหมือนกัน เขาร้องตระโกนลงมาว่า "นายอย่าสู้เขาเลย เขามากกว่านายมากนัก กลับไปเสียเถิด" ฉันจึงได้คิดหันไปมองเห็นคนยืนบนหน้าต่าง กระทรวงกลาโหม จึงนึกดีใจที่เขาเป็นคนให้สติ ยกมือคำนับขอบใจเขา แล้วหันออกมาห่างจากยามประตูข้ามท่อน้ำหน้าวังมาเก็บเสื้อกางเกงที่ทำตกอยู่กลางถนน พร้อมทั้งบอกกับเพื่อนร่วมทาง นายตู้ เพื่อนคู่ยากของฉันว่า "เราจัดแจงไปกันเถิด" และเมื่อหนีบเสื้อกางเกงเข้ารักแร้แล้ว ฉันก็พูดขึ้นดัง ๆ ประกอบกับชี้มือไปทางสะพานข้างโรงสีว่า "ฉันจะไปทางนี้แหละ ถ้าใครรักชีวิตอยู่ก็จงหลีกไป ขืนขวางทางคราวนี้เป็นเห็นดีกันละ" พูดแล้วก็ออกเดินนำเพื่อนคู่ยากของฉันไป พวกนั้นที่ยืนเกลื่อนกลาด เขาไม่กล้าขวางฉัน เขาหลีกทางเป็นช่องให้ฉันสองคนเดินเคียงกันไปได้อย่างสบาย ห่างจากฉันสองคนข้างละสองวาได้ ผ่านพ้นพวกเขาไปแล้วจึงไปแก้เสื้อที่โรงเจ๊ก ขากลับโรงเรียนฉันสองคนไปทางอื่น กลับทางเก่ากลัวจะเกิดเรื่องอีก
          รุ่งขึ้นหน้าตาของฉันบวมอูมหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยถึงกับนอนโรงพยาบาล เวลาเรียนก็เข้าห้องเรียน มีเพื่อนฝูงถามก็เล่าให้ฟังแล้วทำรายงานเสนอกัปตันตอน และนำเสนอขึ้นไปถึงผู้บังคับการโรงเรียน น.ต.หลวงพินิจจักรพันธ์ (ภายหลังเป็นพระยาสาครสงคราม สุริเยศ อมาตยกุล) เมื่อท่านทราบแล้วเกรงว่าจะเกิดเรื่องต่อไปอีก จึงเรียกฉันมาตักเตือนต่าง ๆ ฉันก็เรียนท่านว่า ตั้งใจมาเล่าเรียนมากกว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นคนเกะกะ ทำให้เป็นเรื่องร้อนใจผู้บังคับบัญชา และแล้วก็แล้วกันไป ไม่อาฆาตมาดร้ายอย่างใดต่อไปอีก เรื่องจึงระงับกันไปตอนหนึ่ง 


 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ต่อมาประมาณ ๓ - ๔ เดือน ถึงคราวสอบไล่เลื่อนชั้นก็เลื่อนขึ้นชั้น ๔ เลยออกไปฝึกหัดที่ทะเลอยู่ทางโน้น ส่วนทางกรุงเทพ ฯ ก็เกิดเหตุเรื่องของฉันลุกแดงโชนขึ้นมาอีก คือพวกมหาดเล็กเหล่านั้น ได้ไปเที่ยวข่มเหงคนโน้นคนนี้มากต่อมากเห็นว่าจะเกิดเรื่องเสียหายถึงพวกเขาทั้งหมด และจะปิดความไว้ไม่ได้แล้ว จึงกราบทูลเรื่องของฉันขึ้นเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนเรื่องอื่น ๆ หาว่านักเรียนนายเรือมาข่มเหงถึงหน้าวัง เป็นการรุกรานดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่ากันมากมายเป็นเรื่องใหญ่โต สมเด็จพระบรม ฯ ได้ทรงฟังเลยเอาว่าทหารเรือมาข่มเหงมหาดเล็กของพระองค์อย่างอุกอาจ แท้ที่จริงพระองค์ท่านไม่ถูกกับพระองค์อาภากรมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ไปทรงศึกษาที่เมืองนอกมาด้วยกัน ในกรมเคยทรงเล่าเรื่องให้ฟังมาบ้างแล้ว รุ่งขึ้นก็เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ขอให้ชำระลงโทษทหารเรืออย่างที่เคยกระทำมากับทหารบก (ก่อนหน้าเกิดเหตุเรื่องนี้ประมาณ ๕ - ๖ เดือน ได้เกิดเรื่องกับนายทหารบกขึ้นเรื่องหนึ่ง หาว่านายร้อยเอก โฉม ตีมหาดเล็กของพระองค์ด้วยแซ่ม้า เป็นการเหยียดหยามดูหมิ่นพระเดชยิ่งนัก ลงโทษถึงออกจากนายร้อยเอก แล้วเฆี่ยนหลังอีก ๓๐ ที นายโฉมผู้นี้ต่อมาภายหลัง เมื่อสมเด็จพระบรม ฯ ขึ้นเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ ๖ ได้เป็นผู้ปราบอ้ายเสือเปีย ผู้ร้ายสำคัญที่มีคนยำเกรงครั่นคร้ามมาก ตายที่จังหวัดสมุทรปราการ และจัดการปราบด้วยมือของตนเอง) 


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า

          เรื่องที่นายร้อยเอก โฉม ถูกถอดถูกเฆี่ยนนั้น ดังนี้ คือ นายร้อยเอก โฉม นั่งรถม้าเรียกว่ารถด๊อกการ์ดมาหยุดลงที่ข้างถนนข้างกลาโหมนั่นเอง เจ้าพวกนี้เป็นพวกที่ยกหัวเป็นกิ้งก่า แส่หาเรื่องอวดดี เดินมาเป็นกลุ่ม ๆ เป็นหมู่ พอประจวบกับนายร้อยเอกโฉมหยุดรถเข้า พวกนี้ก็กรากเข้าไปที่หน้าม้า จะจับลูบคลำม้าเล่นตามที่ใจคึกคะนอง ม้าก็ตกใจออกวิ่ง นายร้อยเอก โฉม จึงรั้งบังเหียนด้วยมือซ้าย และมือขวาที่ถือแซ่ม้าอยู่ก็หวดไปทางผู้ที่ยกมือลูบคลำม้า คงถูกปลายแซ่ม้าลงบ้าง พวกเขาจึงโกรธเก็บเนื้อความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระบรมฯ ว่าทหารบกข่มเหง ส่วนตัวพวกเขาที่ทำให้ม้าตกใจพาทั้งรถทั้งคนวิ่งไปอย่างไม่เป็นท่าเป็นทางเขาไม่กล่าวถึง นี่แหละเป็นเรื่องที่ใครมีโอกาสฟ้องได้ก็ฟ้องเอา อย่างที่เรียกว่า "โทษคนอื่นเท่าเหาก็ยกขึ้นมากล่าวให้เหลือหลาย ส่วนโทษของตนเป็นต้นเหตุถึงจะโตเท่าภูเขาหรือเท่าช้างก็ปิดบังอำพรางไว้" ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงรับรายงานคำฟ้องของพ่อโต (ในหลวงเรียกสมเด็จพระบรมฯ) ไว้แล้ว ก็สั่งให้กรมวังเรียกหากรมหมื่นชุมพรฯ ไปเข้าเฝ้า 


เสด็จเตี่ย

          ในกรมเมื่อได้ทราบว่ามีรับสั่งเรียกหาตัว และสืบทราบเรื่องที่ให้ไปเฝ้าตามเรื่องที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ประทับที่โรงเรียนนายเรืออยู่แล้ว จึงทรงสอบถามถึงเรื่องราว ว่าใครรู้เห็นถึงเรื่องนี้บ้าง ทรงกริ้วหาว่าเมื่อมีเหตุเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทำไมจึงไม่บอกให้พระองค์ทรงทราบ สั่งหาตัวให้ได้  จะทำโทษไล่ออก บังเอิญนายอ่อง เป็นหัวหน้ากัปตันจำเรื่องได้ จึงกราบทูลว่าเรื่องนี้ได้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เจ้าทุกข์คือฉัน เมื่อเกิดเรื่องทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว แต่รายงานจะไปตกอยู่ที่ใดไม่ทราบ ในกรมจึงสั่งให้ค้นหาเรื่องให้ได้ ถ้าไม่ได้จะลงโทษผู้บังคับบัญชาทุกคนทุกชั้น ตอนนี้ช่วยกันค้นหาหนังสือฉบับนั้นกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด ค้นไปค้นมาก็ไปพบรายงานฉบับนั้นนอนอยู่ในก้นลิ้นชักของผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ ในกรมสั่งขังผู้บังคับการทันที แต่นายทหารช่วยกันทูลขอโทษแก้ตัวไว้จึงรอดตัวไป เมื่อได้ทรงอ่านรายงานของฉันแล้ว ก็เก็บใส่กระเป๋า เสด็จข้ามฟากเลยไปเฝ้ากรมหลวงราชบุรีฯ ซึ่งเวลานั้นเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เอาเป็นพยานเอกแล้วเชิญชวนให้ไปเฝ้าพรุ่งนี้พร้อมกัน ณ ท้องพระโรงรับพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็ไปพบพร้อมกันยังที่หมาย พอในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จออกประทับเหลียวไปพบในกรมเข้าก็รับสั่งถามว่า "อาภา ! พ่อโต (หมายถึงสมเด็จพระบรมฯ )เขาฟ้องว่าทหารเรือมารังแกเด็กของเขาจริงหรือ" ในกรมถวายคำนับแล้วกราบบังคมว่า "ไม่จริง พวกมหาดเล็กของสมเด็จพระบรม ฯ รังแกนักเรียนนายเรือจึงจะถูก เพราะนักเรียนเพียง ๒ คนเท่านั้น ส่วนมหาดเล็กตั้ง ๕๐ - ๖๐ คน ใครจะข่มเหงใครแน่ กฎหมายที่ไหนก็ไม่มีใครเขาออก เป็นระเบียบแบบแผนว่า คนน้อยข่มเหงคนมาก ถ้าไม่เชื่อขอให้รับสั่งถามในกรมราชบุรีดู" ในหลวงทรงหันไปทางกรมหลวงราชบุรีฯ (เวลานั้นเป็นกรมหมื่น) ๆ ถวายคำนับกราบบังคมทูลว่า "จริงพระเจ้าข้า ทั่วโลกไม่มีกฎหมายว่าคนน้อยข่มเหงคนมาก มีแต่คนมากข่มเหงคนน้อย" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลยหันพระพักตร์มาทางสมเด็จพระบรม ฯ แล้วรับสั่งว่า "พ่อโตก็ไม่ควรนำเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้มากล่าวให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียเวลา" แล้วก็เลยรับสั่งถึงเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
          เป็นอันว่าเรื่องของฉันจบลงกันที นี่แหละเป็นเรื่อง ๆ หนึ่งที่เขาล่ำลือกันนักว่า กรมหมื่นชุมพรฯ ท่านทรงรักลูกศิษย์ หรือช่วยเหลืออุ้มชูลูกน้องของท่านเสมอ มีผู้รู้เห็นเป็นพยานกันอยู่มาก แท้ที่จริงก็มีแง่ที่จะทรงช่วย มิใช่ว่าจะช่วยจนไม่มีเหตุผล ฉันเองก็หวุดหวิดจะถูกเฆี่ยนหลัง แล้วไล่ออกอยู่ลอมมะล่อเหมือนกัน นับว่าหลุดรอดพ้นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ สาธุ ! ขอส่วนกุศลที่ฉันมีอยู่ จงตามสนองพระองค์ท่าน ทุกชาติทุกภพ ด้วยเถิด มิเช่นนั้นแล้วฉันจะต้องเสียคนตลอดชาติทีเดียว นี่เป็นความรอดตายของสกุล สหนาวิน ยังระลึกถึงพระกรุณาของเตี่ยอยู่เสมอ (สานุศิษย์ทุกคนเรียกพระองค์ท่านว่า ติ๊กเตี่ย) และแต่นั้นมาพระองค์ท่านก็ทรงรู้จัก จำชื่อจำหน้าได้ดี ตลอดจนได้เข้าใกล้ชิดหม่อมเจ้าลูก ๆ ของพระองค์ท่านทั้งหญิงทั้งชาย ได้อุ้มชูนำเที่ยวเล่นในบางเวลารอบ ๆ วัง ฯลฯ เพื่อนนักเรียนก็มีคนนับหน้าถือตากันขึ้นอีกมาก ลูกของในกรมมีท่าน อาทิตย์รังสุริยา ท่านขลัว ท่านบ๋วย ฯลฯ เหล่านี้ เมื่อกลับจากนอกแล้วฉันไม่ได้ไปหาท่าน เพราะฉันออกจากราชการแล้ว และอายุก็มาก ยอมตนเป็นคนแก่ หาใส่ปากใส่ท้องไปตามกำลัง ไม่อยากรบกวนพระองค์ชายลูกของนายหนุ่ม ๆ ที่กลับจากเมืองนอกให้มีเรื่องกังวลพระทัย ด้วยคนแก่เช่นตัวฉันนี้ ส่วนลูกเต้าของฉันถ้าเขามีปัญญา เขาก็คงหาที่พึ่งของเขาเอาใหม่ ๆ เหมาะ ๆ ตามอัธยาศัยพอใจของเขาต่อไป.




Comments